บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับไวยากรณ์ของสูตรและการการใช้งาน EDATE ใน Microsoft Excel
คำอธิบาย
ส่งกลับเลขลำดับที่ใช้แสดงถึงวันที่ที่เป็นจำนวนเดือนก่อนหรือหลังวันที่ที่ระบุ (start_date) ใช้ฟังก์ชัน EDATE เพื่อคำนวณวันที่ครบกำหนดชำระ หรือวันที่สิ้นสุดที่มีวันที่ของเดือนตรงกับวันที่ที่ออกจำหน่าย
ไวยากรณ์
EDATE(start_date, months)
ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน EDATE มีอาร์กิวเมนต์ดังนี้
-
ต้องระบุ Start_date วันที่ที่ใช้แทนวันที่เริ่มต้น ใส่วันที่โดยใช้ฟังก์ชัน DATE หรือใช้ผลลัพธ์จากสูตรหรือฟังก์ชันอื่น ตัวอย่าง เช่น ใช้สูตร DATE(2008,5,23) แทนวันที่ 23 พฤษภาคม 2008 แต่อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ถ้าใส่วันที่ในรูปแบบข้อความ
-
Months (ต้องระบุ) จำนวนเดือนก่อนหรือหลัง start_date ค่าบวกของเดือนเป็นวันที่ในอนาคต และค่าลบเป็นวันที่ในอดีต
ข้อสังเกต
-
Microsoft Excel เก็บข้อมูลวันที่เป็นเลขลำดับ (serial number) เพื่อให้สามารถใช้ในการคำนวณได้ ตามค่าเริ่มต้นแล้ว 1 มกราคม 2443 (คริสต์ศักราช 1900) มีเลขลำดับเป็น 1 และวันที่ 1 มกราคม 2551 (คริสต์ศักราช 2008) มีเลขลำดับเป็น 39448 เนื่องจากเป็นวันในลำดับที่ 39,448 นับจากวันที่ 1 มกราคม 2443 (คริสต์ศักราช 1900)
-
ถ้า start_date มีค่าวันที่ไม่ถูกต้อง ฟังก์ชัน EDATE จะส่งกลับ #VALUE! เป็นค่าความผิดพลาด
-
ถ้า Months ไม่ใช่จำนวนเต็ม ก็จะตัดเศษทศนิยมทิ้ง
ตัวอย่าง
คัดลอกข้อมูลตัวอย่างในตารางต่อไปนี้ และวางในเซลล์ A1 ของเวิร์กชีต Excel ใหม่ เพื่อให้สูตรแสดงผลลัพธ์ ให้เลือกสูตร กด F2 แล้วกด Enter ถ้าต้องการ คุณสามารถปรับความกว้างของคอลัมน์เพื่อดูข้อมูลทั้งหมด
วันที่ | ||
---|---|---|
15-Jan-11 |
||
สูตร |
คำอธิบาย |
ผลลัพธ์ |
=EDATE(A2,1) |
วันที่ ซึ่งอยู่หลังจากวันที่ข้างบนหนึ่งเดือน |
15-ก.พ.-11 |
=EDATE(A2,-1) |
วันที่ ซึ่งอยู่ก่อนหน้าวันที่ข้างบนหนึ่งเดือน |
15-ธ.ค.-10 |
=EDATE(A2,2) |
วันที่ ซึ่งอยู่หลังจากวันที่ข้างบนสองเดือน |
15-มี.ค.-11 |