นำไปใช้กับ
Office 2016 Office 2013 Office 2010 Office 2007

สิ่งสำคัญ: การสนับสนุนสำหรับ Office 2016 และ Office 2019 จะสิ้นสุดในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 อัปเกรดเป็น Microsoft 365 เพื่อทำงานได้ทุกที่จากทุกอุปกรณ์และรับการสนับสนุนต่อไป รับ Microsoft 365

สิ่งสำคัญ: ก่อนที่คุณจะเริ่ม คุณจำเป็นต้องทราบว่า การเอา Office ออกด้วยตนเองเป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนและซับซ้อน และอาจจำเป็นต้องให้คุณถอนการติดตั้งระบบปฏิบัติการถ้าทำขั้นตอนบางอย่างไม่ถูกต้อง

หากคุณยังไม่ได้ลองถอนการติดตั้ง Office โดยใช้เครื่องมือสนับสนุนการถอนการติดตั้งโดยทำตามขั้นตอนในส่วน "ตัวเลือก 2" ใต้แท็บ "คลิก-ทู-รัน หรือ MSI" ในถอนการติดตั้ง Office จากพีซี เราขอแนะนำให้ลองใช้วิธีนั้นก่อน

หมายเหตุ: หลายขั้นตอนด้านล่างต้องใช้สิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ

เลือก Office เวอร์ชันของคุณจากด้านล่าง

ขั้นตอนที่ 1 - ระบุชนิดการติดตั้งของคุณ

ก่อนที่คุณจะเริ่มขั้นตอนด้วยตนเอง ให้ระบุชนิดการติดตั้ง Office ของคุณเพื่อให้คุณสามารถเลือกวิธีถอนการติดตั้งที่ถูกต้อง

  • คลิก-ทู-รัน คือวิธีใหม่ในการติดตั้งและอัปเดต Office ผ่านอินเทอร์เน็ต และทำงานคล้ายคลึงกับการสตรีมวิดีโอ ตามค่าเริ่มต้น Office เวอร์ชันล่าสุดที่รวมอยู่ใน Microsoft 365 และการซื้อแบบครั้งเดียวของ Office 2021 Office 2019 และผลิตภัณฑ์ Office 2016 (เช่น Office Home & Business จะถูกติดตั้งโดยใช้คลิก-ทู-รัน

  • MSI (หรือที่เรียกว่า Microsoft Windows Installer) คือวิธีดั้งเดิมในการติดตั้ง Office ผ่านทางทรัพยากรการติดตั้งภายในเครื่อง

  • แอป Microsoft Store คือการติดตั้ง Office จาก Microsoft Store บนคอมพิวเตอร์ระบบ Windows 10 บางรุ่น

เมื่อต้องการระบุชนิดการติดตั้งของคุณ ให้ทำดังต่อไปนี้

  1. สร้างหรือเปิดไฟล์ที่มีอยู่และเลือก ไฟล์ > บัญชีผู้ใช้ (หรืออาจใช้ชื่อว่า บัญชี Office)

  2. ภายใต้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ให้ค้นหาปุ่ม เกี่ยวกับ แล้วทำการค้นหาดังต่อไปนี้:

    คลิก-ทู-รัน

    สกรีนช็อตแสดงว่าเวอร์ชันและรุ่นคือคลิก-ทู-รัน

    การติดตั้ง คลิก-ทู-รัน จะมีหมายเลขเวอร์ชันและรุ่น รวมถึงวลี คลิก-ทู-รัน

    MSI

    สกรีนช็อตของปุ่ม เกี่ยวกับ Office สำหรับการติดตั้ง MSI ซึ่งไม่มีหมายเลขเวอร์ชันหรือรุ่น

    การติดตั้ง MSI จะไม่มีหมายเลขรุ่นหรือเวอร์ชันอยู่เคียงข้าง เกี่ยวกับ Office

    Microsoft Store

    สกรีนช็อตแสดงว่าเวอร์ชันและรุ่นคือ Microsoft Store

    การติดตั้งจาก Microsoft Store จะมีหมายเลขเวอร์ชันและรุ่น และมีคำว่า Microsoft Store

ขั้นตอนต่อไป ให้เลือกชนิดการติดตั้ง แล้วทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อถอนการติดตั้ง Office

ขั้นตอนที่ 2 - เลือกชนิดการติดตั้งที่คุณต้องการถอนการติดตั้ง

ก่อนที่จะเริ่ม ใช้งานให้แน่ใจว่าคุณล็อกอินเข้าใช้งาน Windows ด้วยบัญชีผู้ดูแลระบบ หากคุณไม่แน่ใจว่าคุณมีบัญชีผู้ดูแลระบบหรือไม่ โปรดดูวิธีระบุประเภทบัญชีผู้ใช้ของคุณใน Windows

ขั้นตอนที่ 1: เอาแพคเกจ Windows Installer ออก

  1. ค้นหาโฟลเดอร์การติดตั้ง Office 16 ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ใน C:\Program Files\

  2. คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Microsoft Office 16 แล้วเลือก ลบ

ขั้นตอนที่ 2: เอางานที่กำหนดเวลาไว้ของ Office ออก

  1. เปิดหน้าต่าง พร้อมท์คำสั่ง ในฐานะผู้ดูแลระบบ

  2. ที่พร้อมท์คำสั่ง ให้พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้แล้วกด Enter หลังจากพิมพ์แต่ละคำสั่ง ดังนี้

    schtasks.exe /delete /tn "\Microsoft\Office\Office Automatic Updates"

    schtasks.exe /delete /tn "\Microsoft\Office\Office Subscription Maintenance"

    schtasks.exe /delete /tn "\Microsoft\Office\Office ClickToRun Service Monitor"

    schtasks.exe /delete /tn "\Microsoft\Office\OfficeTelemetryAgentLogOn2016"

    schtasks.exe /delete /tn "\Microsoft\Office\OfficeTelemetryAgentFallBack2016"

ขั้นตอนที่ 3: ใช้ตัวจัดการงานเพื่อสิ้นสุดงานคลิก-ทู-รัน

  1. เปิดตัวจัดการงาน

    • Windows 10: คลิกขวาที่ เริ่ม แล้วคลิก ตัวจัดการงาน (แป้นพิมพ์ลัดแป้นโลโก้ Windows + X ยังสามารถเปิดเมนูการเข้าถึงได้เช่นกัน)

    • Windows 8 หรือ 8.1: ชี้ไปที่มุมขวาบนของหน้าจอ เลื่อนตัวชี้เมาส์ลงมา แล้วคลิก ค้นหา พิมพ์ ตัวจัดการงาน ในกล่องค้นหา แล้วคลิก ตัวจัดการงาน ในผลลัพธ์

    • Windows 7: คลิกขวาที่พื้นที่ว่างของแถบงาน แล้วคลิก เริ่มตัวจัดการงาน

  2. คลิกแท็บ กระบวนการ

  3. ถ้ากระบวนการต่อไปนี้กำลังทำงานอยู่ ให้คลิกขวาที่แต่ละกระบวนการ แล้วคลิก จบการทำงาน ใน Windows 10 หรือ จบการทำงาน ใน Windows 8 8.1 หรือ จบกระบวนการ ใน Windows 7 หลังจากที่คุณเลือกแต่ละกระบวนการ

    • Officeclicktorun.exe

    • OfficeC2RClient.exe

    • appvshnotify.exe

    • setup*.exe

ขั้นตอนที่ 4: ลบบริการ Office

  1. เปิดหน้าต่าง พร้อมท์คำสั่ง ในฐานะผู้ดูแลระบบ พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้แล้วกด Enter:

    • sc delete Clicktorunsvc

ขั้นตอนที่ 5: ลบไฟล์ Office

  1. กดแป้นโลโก้ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  2. ในกล่อง เปิด ให้พิมพ์ %ProgramFiles% จากนั้นคลิก ตกลง

  3. ลบโฟลเดอร์ "Microsoft Office 16"

  4. ลบโฟลเดอร์ "Microsoft Office"

  5. เปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้ พิมพ์ %ProgramFiles(x86)% แล้วคลิก ตกลง

  6. ลบโฟลเดอร์ "Microsoft Office"

  7. เปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้ พิมพ์ %CommonProgramFiles%\Microsoft Shared แล้วคลิก ตกลง

  8. ลบโฟลเดอร์ "ClickToRun"

  9. เปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้ พิมพ์ %ProgramData%\Microsoft แล้วคลิก ตกลง

  10. ลบโฟลเดอร์ “ClickToRun” ถ้าไม่มีโฟลเดอร์นี้อยู่ ให้ไปยังขั้นตอนถัดไป

  11. เปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้ พิมพ์ %ProgramData%\Microsoft\office แล้วคลิก ตกลง

  12. ลบไฟล์ ClickToRunPackagerLocker

    หมายเหตุ: ถ้าคุณไม่สามารถลบโฟลเดอร์หรือไฟล์ที่เปิดอยู่หรือที่กำลังถูกใช้โดยโปรแกรมอื่น ให้รีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ แล้วลองอีกครั้ง ถ้าคุณยังคงไม่สามารถเอาโฟลเดอร์ออกได้ ให้ไปยังขั้นตอนถัดไป

ขั้นตอนที่ 6: ลบซับคีย์รีจิสทรีของ Office

สิ่งสำคัญ: ทำตามขั้นตอนในส่วนนี้อย่างระมัดระวัง ปัญหาร้ายแรงอาจเกิดขึ้นถ้าคุณปรับเปลี่ยนรีจิสทรีอย่างไม่ถูกต้อง ก่อนที่คุณจะเริ่ม ให้สำรองข้อมูลรีจิสทรีสำหรับการคืนค่า ในกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น

  1. เปิด Registry Editor

    • Windows 10: คลิกขวาที่ เริ่ม คลิก เรียกใช้ พิมพ์ regedit แล้วคลิก ตกลง

    • Windows 8 หรือ 8.1: คลิกขวาที่ เริ่ม คลิก เรียกใช้ พิมพ์ regedit แล้วคลิก ตกลง

    • Windows 7: คลิก เริ่ม พิมพ์ เรียกใช้ ในกล่อง เริ่มการค้นหา แล้วคลิก เรียกใช้ ในผลลัพธ์

  2. ลบซับคีย์รีจิสทรีต่อไปนี้

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Office\ClickToRun

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\AppVISV

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall\Microsoft Office <Edition> - en-us

    • HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Office

    • จากนั้น ลบ คีย์ Office

      หมายเหตุ: ในซับคีย์ในรายการหัวข้อย่อยที่สาม "Microsoft Office <Edition>- en-us" แทนชื่อโปรแกรมจริง โดยชื่อจะขึ้นอยู่กับรุ่นของ Office 2016 และเวอร์ชันของภาษาที่คุณติดตั้ง

ขั้นตอนที่ 7: ลบเมนูทางลัด เริ่ม

  1. เปิดหน้าต่าง พร้อมท์คำสั่ง ในฐานะผู้ดูแลระบบ

  2. พิมพ์ explorer %ALLUSERSPROFILE%\Microsoft\Windows\Start Menu\Programs แล้วกด Enter

  3. ลบโฟลเดอร์ "เครื่องมือ Microsoft Office 2016"

  4. ลบทางลัด "แอปพลิเคชัน <> 2016" แต่ละทางลัดสําหรับแต่ละแอปพลิเคชัน Office 2016 ตัวอย่างเช่น "Word 2016", "Excel 2016", "PowerPoint 2016"

ขั้นตอนที่ 8: ถอนการติดตั้งคอมโพเนนต์สิทธิ์การใช้งานคลิก-ทู-รันของ Office 16, คอมโพเนนต์การขยาย และคอมโพเนนต์การแปล

  1. เปิดหน้าต่าง พร้อมท์คำสั่ง ในฐานะผู้ดูแลระบบ

  2. ที่พร้อมท์คำสั่ง ให้พิมพ์คำสั่งที่เหมาะสำหรับระบบปฏิบัติการของคุณแล้วกด Enter ดังนี้

    • ถ้าคุณกำลังใช้งาน Office 2016 เวอร์ชัน x86 บนระบบปฏิบัติการ x64 ให้เรียกใช้คำสั่งต่อไปนี้:

      MsiExec.exe /X{90160000-008F-0000-1000-0000000FF1CE}

      MsiExec.exe /X{90160000-008C-0000-0000-0000000FF1CE}

      MsiExec.exe /X{90160000-008C-0409-0000-0000000FF1CE}

    • ถ้าคุณกำลังใช้งาน Office 2016 เวอร์ชัน x86 บนระบบปฏิบัติการ x86 ให้เรียกใช้คำสั่งต่อไปนี้:

      MsiExec.exe /X{90160000-007E-0000-0000-0000000FF1CE}

      MsiExec.exe /X{90160000-008C-0000-0000-0000000FF1CE}

      MsiExec.exe /X{90160000-008C-0409-0000-0000000FF1CE}

    • ถ้าคุณกำลังใช้งาน Office 2016 เวอร์ชัน x64 บนระบบปฏิบัติการ x64 ให้เรียกใช้คำสั่งต่อไปนี้:

      MsiExec.exe /X{90160000-007E-0000-1000-0000000FF1CE}

      MsiExec.exe /X{90160000-008C-0000-1000-0000000FF1CE}

      MsiExec.exe /X{90160000-008C-0409-1000-0000000FF1CE}

ก่นที่คุณจะถอนการติดตั้ง Office 2016 คุณต้องสามารถดูไฟล์และโฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้:

ดูไฟล์และโฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้

  1. เมื่อต้องการดูไฟล์และโฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้:

    • Windows 10: คลิกขวา เริ่ม แล้วคลิก แผงควบคุม (แป้นพิมพ์ลัดแป้นโลโก้ Windows + X ยังสามารถเปิดเมนูการเข้าถึงได้เช่นกัน)

    • Windows 8 or 8.1: ให้กดแป้น Windows + X แล้วคลิก แผงควบคุม

    • Windows 7: คลิก เริ่ม > แผงควบคุม

  2. กด Alt เพื่อแสดงแถบเมนู

  3. คลิก เครื่องมือ > ตัวเลือกโฟลเดอร์ แล้วคลิกแท็บ มุมมอง

  4. ในบานหน้าต่าง การตั้งค่าขั้นสูง ให้คลิก แสดงแฟ้มและโฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้ภายใต้ไฟล์และโฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้

  5. ล้างกล่อง ซ่อนส่วนขยายสำหรับชนิดแฟ้มที่รู้จัก

  6. คลิก ตกลง แล้วปิด Windows Explorer

ขั้นตอนที่ 1: เอาแพคเกจ Windows Installer สำหรับ Office ที่เหลืออยู่ออก

  1. กดแป้นโลโก้ของ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  2. พิมพ์ Installer แล้วคลิก ตกลง เพื่อเปิดโฟลเดอร์ %windir%\Installer

  3. ถ้าคุณไม่เห็น ให้กดแป้น Alt เพื่อแสดงแถบเมนู แล้วทำต่อไปนี้โดยขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของคุณ

    • Windows 10: คลิก มุมมอง แล้วคลิก รายละเอียด ในกลุ่ม เค้าโครง

    • Windows 8 หรือ 8.1: คลิก มุมมอง แล้วคลิก รายละเอียด ในกลุ่ม เค้าโครง

    • Windows 7: บนเมนู มุมมอง ให้คลิก เลือกรายละเอียด

  4. เปลี่ยนความกว้างคอลัมน์โดยขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของคุณ

    • Windows 10: คลิก มุมมอง > เพิ่มคอลัมน์ ในกลุ่ม เค้าโครง แล้วเลือก คอลัมน์ จากนั้นเลือก เรื่อง แล้วพิมพ์ 340 ในกล่อง ความกว้างของคอลัมน์ที่เลือก (เป็นพิกเซล)

    • Windows 8 หรือ 8.1: คลิก มุมมอง แล้วคลิก รายละเอียด ในกลุ่ม เค้าโครง แล้วพิมพ์ 340 ในกล่อง ความกว้างของคอลัมน์ที่เลือก (เป็นพิกเซล)

    • Windows 7: บนเมนู มุมมอง ให้คลิก เลือกรายละเอียด แล้วพิมพ์ 340 ในกล่อง ความกว้างของคอลัมน์ที่เลือก (เป็นพิกเซล)

    หมายเหตุ: อาจต้องใช้เวลาหลายนาทีเพื่อให้เรื่องปรากฏถัดจากไฟล์ .msi แต่ละไฟล์

  5. คลิก ตกลง

  6. คลิก มุมมอง > เรียงลำดับตาม > เรื่อง

  7. ถ้ากล่องโต้ตอบ การควบคุมบัญชีผู้ใช้ ปรากฏขึ้น ให้คลิก อนุญาต เพื่อดำเนินการต่อไป

  8. ค้นหาไฟล์ .msi file ที่มี "Microsoft Office <ชื่อผลิตภัณฑ์> 2016" เป็นชื่อเรื่อง คลิกขวาไฟล์ .msi แล้วคลิก ถอนการติดตั้ง

    ในขั้นตอนนี้ <ชื่อผลิตภัณฑ์> จะสดงชื่อที่แท้จริงของผลิตภัณ์ Office 2016

ขั้นตอนที่ 2: หยุดการทำงานของบริการ Office Source Engine

  1. กดแป้นโลโก้ของ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  2. พิมพ์ services.msc แล้วคลิก ตกลง

  3. ในหน้าต่าง บริการ ให้ระบุว่าบริการ Office Source Engine กำลังทำงานอยู่หรือไม่ (ถ้าบริการกำลังทำงานอยู่ "เริ่มต้น" จะปรากฏในคอลัมน์ สถานะ) ถ้าบริการนี้กำลังทำงานอยู่ ให้คลิกขวากขวาที่ Office Source Engine แล้วคลิก หยุด

  4. ปิดหน้าต่างบริการ

ขั้นตอนที่ 3: ลบโฟลเดอร์การติดตั้ง Office ที่เหลืออยู่ออก

  1. กดแป้นโลโก้ของ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  2. พิมพ์ %CommonProgramFiles%\Microsoft Shared แล้วคลิก ตกลง

    หมายเหตุ: บนคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน Windows เวอร์ชัน 64 บิต ให้พิมพ์ %CommonProgramFiles(x86)%\Microsoft Shared แล้วคลิก ตกลง

  3. ถ้าโฟลเดอร์ Office16 และ Source Engine ปรากฏอยู่ ให้ลบโฟลเดอร์เหล่านั้น

  4. กดแป้นโลโก้ของ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  5. พิมพ์ %ProgramFiles%\Microsoft Office แล้วคลิก ตกลง

    หมายเหตุ: บนคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน Windows เวอร์ชัน 64 บิต ให้พิมพ์ %ProgramFiles(x86)%\Microsoft Office แล้วคลิก ตกลง

  6. ลบโฟลเดอร์ Office16

  7. บนโฟลเดอร์ ราก ของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์แต่ละรายการ ให้เปิดโฟลเดอร์ MSOCache

  8. เปิดโฟลเดอร์ ผู้ใช้ทั้งหมด ในโฟลเดอร์ MSOCache แล้วลบทุกโฟลเดอร์ที่มี "0FF1CE}- ในชื่อโฟลเดอร์

    หมายเหตุ: ข้อความนี้มีตัวอักขระ "0" (ศูนย์) และ "1" สำหรับตัวอักษร "O" และ "I" ตัวอย่างเช่น ลบโฟลเดอร์ที่มีชื่อดังต่อไปนี้:

    • {90160000-001B-0409-0000-0000000FF1CE}-C

ขั้นตอนที่ 4: ลบไฟล์การติดตั้ง Office ใดๆ ที่เหลืออยู่

  1. กดแป้นโลโก้ของ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  2. พิมพ์ %appdata%\microsoft\templates แล้วคลิก ตกลง

  3. ลบไฟล์ Normal.dotm และ Welcome to Word.dotx

  4. กดแป้นโลโก้ของ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  5. พิมพ์ %appdata%\microsoft\document building blocks แล้วคลิก ตกลง

  6. เปิดโฟลเดอร์ย่อยภายใต้โฟลเดอร์ แบบเอกสารสำเร็จรูปของเอกสาร แล้วลบไฟล์ Building blocks.dotx

    หมายเหตุ: ชื่อโฟลเดอร์ย่อยจะเป็นตัวเลขสี่หลักที่แสดงภาษาของชุดโปรแกรม Microsoft Office

  7. ปิดโปรแกรมทั้งหมดก่อนที่คุณจะทำตามขั้นตอนที่เหลือ

ขั้นตอนที่ 5: ลบซับคีย์รีจิสทรีสำหรับระบบ Office

  1. ก่อนที่คุณจะเริ่ม ให้สำรองข้อมูลรีจิสทรีสำหรับการคืนค่า ในกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น

    คำเตือน: ปัญหาร้ายแรงอาจเกิดขึ้นถ้าคุณปรับเปลี่ยนรีจิสทรีอย่างไม่ถูกต้องโดยใช้ Registry Editor หรือใช้วิธีอื่น ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้คุณต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ Microsoft ไม่สามารถรับประกันได้ว่าปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขได้ คุณต้องเลือกความเสี่ยงในการปรับเปลี่ยนรีจิสทรีด้วยตนเอง

ลบซับคีย์รีจิสทรีของ Office 2016

  1. กดแป้นโลโก้ของ Windows + R เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบ เรียกใช้

  2. พิมพ์ regedit แล้วคลิก ตกลง

  3. คลิกซับคีย์รีจิสทรีต่อไปนี้

    • HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Office\16.0

  4. คลิก แฟ้ม > ส่งออก พิมพ์ DeletedKey01 แล้วคลิก บันทึก

  5. คลิก แก้ไข > ลบ แล้วคลิก ใช่ เพื่อยืนยัน

  6. ทําซ้ำขั้นตอนที่ 1 ถึง 5 สําหรับแต่ละซับคีย์รีจิสทรีในรายการต่อไปนี้ ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1 ถึง 5 สำหรับซับคีย์รีจิสทรีแต่ละรายการต่อไปนี้ เพิ่มชื่อของคีย์ที่ส่งออกทีละหนึ่งสำหรับซับคีย์แต่ละรายการ

    ตัวอย่างเช่น: พิมพ์ DeletedKey02 สำหรับคีย์ที่สอง พิมพ์ DeletedKey03 สำหรับคีย์ที่สาม เป็นต้น

    หมายเหตุ: ในคีย์รีจิสทรีต่อไปนี้ เครื่องหมายดอกจัน (*) จะแทนอักขระอย่างน้อยหนึ่งอักขระในชื่อซับคีย์

    Windows เวอร์ชัน 32 บิต

    • HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Office\16.0

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Office\16.0

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Office\Delivery\SourceEngine\Downloads\*0FF1CE}-*

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall\*0FF1CE*

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Installer\Upgrade Codes\*F01FEC

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Installer\UserData\S-1-5-18\Products\*F01FEC

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\ose

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\Features\*F01FEC

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\Products\*F01FEC

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\UpgradeCodes\*F01FEC

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\Win32Assemblies\*Office16*

    Windows เวอร์ชัน 64 บิต

    • HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Office\16.0

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Wow6432Node\Microsoft\Office\16.0

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Wow6432Node\Microsoft\Office\Delivery\SourceEngine\Downloads\*0FF1CE}-*

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Wow6432Node\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall\*0FF1CE*

    • HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\ose

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\Features\*F01FEC

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\Products\*F01FEC

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\UpgradeCodes\*F01FEC

    • HKEY_CLASSES_ROOT\Installer\Win32Asemblies\*Office16*

    ลบซับคีย์รีจิสทรีต่อไปนี้ด้วย

    1. ค้นหาซับคีย์ต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งซับคีย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของ Windows ที่คุณใช้งานอยู่ ดังนี้

      • 32 บิต: HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall

      • 64 บิต: HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Wow6432Node\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall

    2. คลิก แฟ้ม > ส่งออก พิมพ์ UninstallKey01 แล้วคลิก บันทึก

    3. ภายใต้ ถอนการติดตั้ง ซับคีย์ที่คุณค้นหาในขั้นตอนที่ 1 ให้คลิกซับคีย์แต่ละรายการ แล้วระบุว่าซับคีย์ได้รับการกำหนดค่าต่อไปนี้หรือไม่

      • ชื่อ: UninstallString

      • ข้อมูล: file_name path\Office Setup Controller\Setup.exe path

        ในตัวอย่างนี้ file_name จะแสดงชื่อที่แท้จริงของโปรแกรมการติดตั้ง และ เส้นทาง จะแสดงเส้นทางไฟล์ที่แท้จริง

    4. ถ้าซับคีย์มีชื่อและข้อมูลที่อธิบายไว้ในขั้นที่ 3 ให้คลิก แก้ไข > ลบ มิฉะนั้น ให้ไปที่ขั้นตอนที่ 5

    5. ทำซ้ำขั้นตอนที่ 3 และ 4 จนกว่าคุณจะพบซับคีย์และลบซับคีย์ที่ตรงกับชื่อและข้อมูลที่อธิบายไว้ในขั้นตอนที่ 3 ทั้งหมดออก

    6. ปิด Registry Editor

ใช้ขั้นตอนเหล่านี้เพื่อถอนการติดตั้ง Office ถ้าคุณมีชนิดของการติดตั้งเป็น Microsoft Store

ตัวเลือกที่ 1 - ถอนการติดตั้ง Office จากการตั้งค่า Windows

  1. เลือก เริ่มต้นการตั้งค่า ไอคอนเริ่มของ Windows 10 >ปุ่มตั้งค่าบนเมนูเริ่มของ Windows 10 > แอป

  2. ภายใต้ แอปและฟีเจอร์ ให้เลือกเวอร์ชันของ Office ที่คุณต้องการถอนการติดตั้ง

    หมายเหตุ: ถ้าคุณติดตั้งชุดโปรแกรม Office เช่น Office Home and Student หรือคุณมีการสมัครใช้งาน Office ให้ค้นหาชื่อชุดโปรแกรม ถ้าคุณซื้อแอปพลิเคชัน Office ทีละรายการ เช่น Word หรือ Visio ให้ค้นหาชื่อแอปพลิเคชัน

  3. เลือก ถอนการติดตั้ง.

ตัวเลือกที่ 2 - ถอนการติดตั้ง Office ด้วยตนเองโดยใช้ PowerShell

เอา Office ออก

  1. คลิกขวาที่ เริ่ม ไอคอนเริ่มของ Windows 10 แล้วเลือก เรียกใช้

  2. ในกล่องโต้ตอบ เรียกใช้ ให้พิมพ์ PowerShell แล้วเลือก ตกลง

  3. ในหน้าต่าง Windows PowerShell ให้พิมพ์ดังต่อไปนี้:

    Get-AppxPackage -name "Microsoft.Office.Desktop" | Remove-AppxPackage

  4. กด Enter

    จะใช้เวลาสักครู่ เมื่อเสร็จสิ้น พร้อมท์คำสั่งใหม่จะปรากฏขึ้น

ตรวจสอบว่า Office ถูกเอาออกแล้ว

  1. ในหน้าต่าง Windows PowerShell ให้พิมพ์ดังต่อไปนี้:

    Get-AppxPackage -name "Microsoft.Office.Desktop"

  2. กด Enter

    ถ้ามีเพียงพร้อมท์คำสั่งปรากฎขึ้นและไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าคุณได้เอา Office ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่

ต้องการตัวเลือกเพิ่มเติมหรือไม่

สํารวจสิทธิประโยชน์ของการสมัครใช้งาน เรียกดูหลักสูตรการฝึกอบรม เรียนรู้วิธีการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ของคุณ และอื่นๆ